อยากให้เป็นเช่นวันวาน
ตอนที่ 8
  
ฉันถูกตรวจจับวัตถุระเบิดที่ซิด
นีย์



                

หลังจากไปอินเดียแล้ว
จากนั้นปิดเทอมใหญ่ก็ไปท่องเที่ยวกับกรุ๊ปทัวร์ปีละครั้ง
เป็นการให้รางวัลชีวิต เช่น ไปสิงค์โปร์ 
ปีต่อไปก็ไปปักกิ่งทั้งนี้ทั้งนั้นจ่ายตังค์เองคร้า 
ไปกับกรุ๊ปทัวร์เรียกว่าชะโงกทัวร์มาก
กว่า แป๊บ ๆ ไกด์ก็เรียกอีกละ 



ต่อมา ปี 2551
ลูกสาวสอบได้โครงการ Working Holiday ออสเตรเลีย
ของสำนักงานส่งเสริมสวัสดิภาพและพิทักษ์เด็ก เยาวชน ฯ (สท)
เป็นโครงการแลกเปลี่ยนเยาวชน ระหว่างออสเตรเลียกับไทยแลนด์
ระยะเวลา 1  ปี ให้ไปทำงานอย่างเดียว  เขารับทั่วประเทศ 10 คน
ลูกสาวติด 1 ใน 100  เสียเงินแค่ค่าตั๋วเครื่องบินไป - กลับ
และเงินค่าใช้จ่ายรวมแล้ว 45,000 บาท
นอกนั้นไปหางานทำเงินเอาเอง

ลูกสาวได้ทำร้านอาหารไทย ที่บริสเบน ออสเตรเลีย 
ฉันติดต่อกับลูกทุกวันทางออนเอ็ม หลังลูกเลิกงาน 
มีอยู่วันหนึ่งฉันมานั่งคิด ๆ ดู
 เอ.....นี่เราเกษียณอายุราชการมาได้เจ็ดเดือนกว่าแล้ว
น่าจะได้ไปท่องเที่ยวที่ไหนสักแห่ง
ก็คุยกับลูกสาวทางออนเอ็ม
ลูกบอกว่าแม่ควรจะไปบริสเบน  ไปในขณะที่ลูกอยู่ที่นั่น
เพราะสิ้นเดือนมิถุนายนนี้ วีซ่า Working Holiday ของลูก
ก็จะครบกำหนดที่ต้องกลับเมืองไทยแล้ว..... เออดีเหมือนกัน
ก็ตอบไปงั้น ๆ แหละไม่ได้คิดว่าจะได้ไปจริง
เพราะลูกจัดการเรื่องวีซ่าทางอินเทอร์เน็ตให้หมด
เป็นวีซ่าท่องเที่ยวไปได้สามเดือน 


ก็แบบว่าไม่เคยเดินทางไปต่างประเทศคนเดียว และด้วยวัย
หกสิบเอ็ดกะรัต(ขณะนั้น) ลูกสาวก็จัดการซื้อตั๋วทางอินเทอร์เน็ตให้ 
เป็นสายการบิน EVA ลูกบอกว่าถูกดี ไป - กลับ 29,000 บาท
รวมภาษีสนามบินเรียบร้อย แต่ต้องไปเปลี่ยนเครื่องที่ไต้หวัน
จะมีเวลาเปลี่ยนเครื่อง  1 ชั่วโมง และต้องเดินไปอีกอาคารหนึ่ง
ลูกบอกว่าตอนลูกไป  เครื่องบินดีเลย์ที่ไทย กว่าจะถึงไต้หวัน
เกือบไม่ทันเครื่องไปบริสเบน   ลูกต้องวิ่งๆ ๆ ไปต่อเครื่องอีกอาคาร
ขึ้นเครื่องเป็นคนสุดท้าย  ฉันบอกลูกว่า อย่างนี้แม่ชอบ
เรื่องวิ่งไม่มีปัญหา เพราะฟิตเนสทุกวันอยู่แล้ว ไม่ต้องห่วงแม่
จากนั้นการออนเอ็มก็ยุติไป

 

วันต่อมา ลูกสาวกลับจากทำงาน รีบออนเอ็มหาแม่ทันที
บอกว่า แม่การที่แม่วิ่งไม่เหนื่อย ลูกไม่เถียง
แต่ถ้าแม่วิ่งไปอีกอาคารที่ไม่ใช่ไปทางประตูบริสเบนล่ะ
ภาษาอังกฤษตอนเรียนกับตอนพูดไม่ใช่เหมือนกัน
(ลูกสาวรู้ดีว่า ฉันพูดได้แบบ Snake Fish ๆ )  เออ......จริงแฮะ
เอาไงดีลูก
ลูกบอกว่า เดี๋ยวลูกจะขอเปลี่ยนเป็นสายการบินไทยดีกว่า
แพงขึ้นมาอีกสองพัน แต่ไม่ต้องเปลี่ยนเครื่อง
จะแวะพักเครื่องที่ ซิดนีย์ 1 ชั่วโมง ตกลงนะแม่
ลูกจะได้หายห่วงโอเค้  อีกสามวันก็จะเดินทาง
ลูกถามว่าเตรียมกระเป๋าพร้อมยังแม่ตอบ ยังค่ะ เพราะไม่ว่าง
งานทำหลังเกษียณเยอะมาก  แต่แม่ก็จะเอาโน้ตบุ๊คไปด้วย
ตอนลูกไปทำงาน แม่ก็ทำงานของแม่ไป
ส่วนลูกก็กลัวแม่จะเหวอ เพราะเดินทางคนเดียว
ลูกก็สร้างความมั่นใจโดยการส่งลายแทงเป็นข้อ ๆ มาทางอีเมล์ 
เริ่มตั้งแต่ไปถึงสนามบินสุวรรณภูมิ
จะต้องไปดูป้ายที่เลื่อนๆ เป็นสี ๆ ว่าต้องไปเคาน์เตอร์ไหน
เปิดหรือยัง ฯลฯ รวมแล้ว 35 ข้อ
พร้อมกับสแกนตัวอย่างการกรอกใบผ่าน ต.ม. 
มาให้แม่ซ้อมกรอกก่อน เราก็คิดเออค่อยมั่นใจ
ดังนั้นคืนก่อนเดินทางก็เอามาอ่าน
แล้วก็วางไว้ที่โต๊ะคอม ฯ  ลืมเก็บไปด้วยค่ะ  ถึงเวลาจริง ๆ
ไม่มี ไม่มีลายแทง  เอ๋อ เหวอ และก็เซ่อ


                     

เป็นอันว่าการเดินทางคนเดียวไปต่างประเทศ
ครั้งแรกในชีวิตของฉันปราศจากลายแทง 35 ข้อ
ที่ลูกสาวเขียนไว้ให้    
ซึ่งลูกเน้นย้ำนักย้ำหนาให้ทำตามทุกข้อ
พอถึงข้อสุดท้ายแม่ก็จะเห็นลูกยิ้มสวย
รอแม่อยู่ที่ท่าอากาศยานบริสเบน
ในลายแทงนั้นลูกบอกว่า เมื่อแอร์ฯ แจกใบผ่าน ต.ม. บริสเบน
ให้แม่ขอชุดที่เป็นภาษาไทยดีกว่านะ ฉันลืมหมด
ในที่สุดฉันได้รับใบผ่าน ต.ม.เป็นภาษาอังกฤษ
เหมือนกับชุดที่ลูกให้ฝึกซ้อมเขียน วางอยู่โต๊ะคอมฯ ที่บ้านง่ะ
สู้ ๆ ๆ  แล้วฉันก็กรอกใบผ่าน ต.ม. บนเครื่องบิน ไม่ลืมเปิดไฟด้วยความคล่อง
(แอบดูแหม่มที่นั่งข้าง ๆ ทำ) แกก็ชอบซักถามเรา ไปบริสเบนกี่วัน
ฉันอยู่โกลด์โคสท์ ฯลฯ  ฉันก็ตอบไปถูกไม่ถูกไม่รู้ แกพูดอะไรมา
ฉันก็อึฮื้อ อะอ้าไปตามเรื่อง นึกในใจ เมื่อไหร่จะถึงซักทีวุ้ย


ตอนหลังแกคงเห็นว่าแกถามอย่าง ฉันตอบอีกอย่าง
และทีตอบนั่นคงเป็นภาษาใหม่
ในที่สุดแกก็เงียบไปเปิดทีวีดูหนังไป พอเรากรอกเสร็จ
ก็เก็บไว้ในพาสปอร์ต (ตามคำสั่งลูก)
สักครู่ได้ยินสามีแหม่มแกพูดอะไรไม่รู้ ภรรยาก็หันมาทางฉัน
แล้วพูดอีก จับคำได้ว่า Card  ด้วยความเป็นครูสอนวิชาภาษาไทย
เรารีบหยิบใบผ่าน ต.ม.ให้แกด้วยความภาคภูมิใจที่มี
ฝรั่งมาขอลอกใบผ่านทางเรา (คิดเอาเอง) แล้วยื่นให้ในท่าเต๊ะนิด ๆ
แล้วแกก็พลิกด้านหลังบอกฉันว่า
you ลืมเขียนด้านหลังง่ะ   เหวอตายแล้ว
ที่ลูกปฐมนิเทศไว้ก็ไม่ได้เอามา
ในที่สุดฉันก็ขอยืมแหม่มมาลอกอิอิ ชีวิตรันทด
เสียงกัปตันประกาศ  ขณะนี้เราพาท่านมาถึงซิดนีย์แล้ว
(ฟังรู้เรื่อง) เพราะเป็นสายการบินไทย
ฉันก็หิ้วโน้ตบุ๊คมีกระเป๋าสะพาย
แล้วก็สวยเริดเชิดหยิ่งผ่านแอร์โฮสเตส สจ๊วตไป
เดินไปทางงวงช้าง  เหวอ....หา.... เป็นฝาหรั่งหมด มันพูดอะไร
แล้วเราจะไปไหน ลูกจ๋าหน้าแม่แห ตาก็แห ทำไงดี

 

 

 

 

 

 รีบกลับไปหาแอร์โฮสเตส ถามว่าไปไหนต่อ แอร์บอกให้ฉันมั่นใจ
"ต้องถามฝ่ายซิดนีย์เขาค่ะ" ฮือๆ ๆ   ลายแทง 35 ข้อ ก็ไม่ได้เอามา 
ก็พอดีเจอสาวไทยยืนกับเจ้าหน้าที่ฝาหรั่ง  เจ้าหน้าที่หันมาถามฉันว่า
ปรื้อปรื่อปรื้อปรื๊ดๆ ฉันก็ yes (ใช่หรือเปล่าไม่รู้)
แล้ว ถามสาวไทยที่ยืนด้วยกันเขาพูดว่าอะไร ด้วยความหวังในคำตอบ
สาวไทยตอบว่า ฟังไม่รู้เรื่องค่ะ พูดภาษาอังกฤษไม่เป็น
พอดีเจ้าหน้าที่ก็เดิน  เราก็เริ่มเดินตามด้วยอาการขาสั่น 
ผ่านการสแกนกระเป๋า เราจำคำลูกสอนได้ว่า แม่ต้อง
ทำหน้าให้เรียบเฉยที่สุด.......   เหงื่อจ๊ะลูก เหงื่อมันแตกทั้ง ๆ
ที่อากาศไม่ร้อน แล้วก็เดินตามเขาไป  ผ่านการตรวจหลายด่านมาก ๆ
ตอนนั้นสี่ทุ่มกว่า ไฟสว่างไสวตามทางเดิน 
รวมทั้งกล้องวงจรปิดที่เราไม่สามารถเห็นได้ว่า
ใบหน้าของเราไร้ซึ่งความเรียบเฉย
ตามที่ลูกสั่ง มันกระตือรือร้นอย่างผิดปกติ    
ฉันได้เดินผ่านการตรวจพิรุธอะไรบ้าง (ซึ่งฉันไม่รู้)
พอพ้นไปได้สัก 10 ก้าว วิญญาณครูก็เข้าสิง
ด้วยความเป็นห่วงสาวไทยคนที่พูดภาษาอังกฤษไม่ได้ ว่าหายไปไหน
มาถึงหรือยัง ก็หยุดยืนหันหน้าหันหลัง จดๆจ้องๆ เขม้นมองหา
หันไปหันมา (ลักษณะแบบนี้แหละมีพิรุธ)    พอไม่เจอก็เดินต่อไป
พวกที่ฉันเดินตามมาหายไปหมดแล้ว  ก็พอดีตรงแยก
ก็มีเจ้าหน้าที่ ไม่ใช่คนไทยแล้ว this way ปรื่อปรื๊อๆ ๆ ๆ
แล้วก็ผายมือไปอีกทาง this way บริสเบน เย้ เดินเชิดไปเลย เดินๆๆ

เมื่อถึงทางที่จะขึ้นบันไดเลื่อน ก็มีอาคันตุกะ
สองคนหญิงคนชายคน หน้าตาเหี้ยมเกรียม บอกเราว่า ปรื่อปรื๊อๆๆๆ
ปรี๊ด จับความตอนท้ายว่ามาจากไหน ตอบด้วยความภาคภูมิใจว่า
THAI LAND แกก็เอากระดาษภาษาไทยให้อ่าน
หา......เหวอ......”ท่านถูกสุ่มตรวจจับวัตถุระเบิด”
ตาก็มองหาเพื่อนไม่มี ไม่มีใครสักคน
และแล้วมันก็ให้ยืนตรงรูปเท้า
ให้กางแขน หันหลง หันหน้า ดีนะที่ไม่ให้ขึ้นขาหยั่งตรวจภายใน
เปิดกระเป๋า กระเป๋าโน้ตบุ๊ค ประมาณ 10 นาทีที่ตกนรก
แล้วมันก็ปล่อยไป ชี้ให้ขึ้นทางบันไดเลื่อน
พอถึงชั้นบนก็เจอสาวไทย  "มองหาเห็นอยู่ในห้องนั้นแว้ป ๆ ไปทำอะไรหรอ"(เรื่องอะไรฉันจะบอกเธอ  ฉันไปหาประสบการณ์ย่ะ) สาวไทยก็ถามฉันว่าจะไปทางไหนต่อ
อ๋อ ที่แกคอยฉันเพราะหวังพึ่งพา โธ่เอ๊ย แล้วเราจะรู้มั้ยเนี่ย  ก็แข็งใจเดินต่อไป ก็เจอคนนั่งเยอะแยะ แต่ไม่ใช่คนไทย และแล้วเหมือนพระเจ้าช่วยกล้วยทอด มีนักเรียนไทยอายุประมาณ ยี่สิบกว่า เดินมาหา แกก็คงห่วง ในความเป็นวัยรุ่นของเรา
น้า ๆ จะไปบริสเบนใช่ไหม
ใช่ ไปรอประตูไหน ประตู 59 นี้ละครับ โอ้ ชีวิต ขอบคุณมาก

 

 

หลังจากที่เจอประตูไปบริสเบน
โดยมีเด็กนักเรียนไทยมีจิตเมตตาพาสาวน้อยอย่างฉัน
ไปนั่งรอที่ประตู 59 แล้ว
“เดี๋ยวขอโทรหาลูกสาวก่อน” แกรออยู่ที่สนามบินบริสเบน 
จากนั้นก็กดโทรศัพท์ กดยังไงก็ใช้ไม่ได้  ถามนักเรียนไทย
แกบอกว่า AIS ถ้าไม่ได้ขอใช้ที่ต่างประเทศจะโทรไม่ได้
เอาของผมโทรก็ได้ครับ เดี๋ยวขอเปลี่ยนซิมก่อน ก็ติดต่อลูกได้
(นี่แหละน้ำใจคนไทยที่แท้จริง)  จากนั้นก็มีการประกาศ ปรื่อปรื๊อๆๆๆ
 ฉันไม่ใช้สมองให้เสียพลังงานแล้ว เดินตามติดนักเรียนไทยไปเล้ย
ในที่สุดก็ได้นั่งสายการบินไทยไปสู่บริสเบนโดยสวัสดิภาพ
โดยนั่งที่นั่งเดิม    อ้าว ออสซี่คนเดิมก็ยังนั่งอยู่เหรอ
เป็นอันว่าที่เราแปลในใจมาตลอดทางว่า  แก ลงซิดนีย์ก็ไม่ใช่เสียแล้ว
 สงสารสมองอีกแล้ว ที่ต้อง แปลผิด ๆ ให้เจ้าของสมอง



พอถึงแอร์พอร์ต ก็ผ่าน ต.ม. อีก  คำสั่งของลูกแว้บเข้ามาในหัว
 “แม่ต้องเอาใบผ่าน ต.ม. เก็บเข้าไว้ในพาสปอร์ตให้ดี ๆ
แล้วถ้าเขาถามอะไรก็ตอบๆ ไป” อันนี้ได้บอกลูกว่า แม่ไม่ตอบ แม่ไม่ฟัง แม่หยิ่ง ลูกก็บอกว่าไม่มีอะไรหรอก ส่วนใหญ่เขาก็จะบอกว่าขอให้ท่องเที่ยวอย่างมีความสุข ประมาณนั้น
แล้วลูกก็ส่งอีเมล์มาเป็นภาษาอังกฤษ ถ้าเขาพูดแบบนี้แม่ก็ตอบแบบนี้ ฯลฯ
ทั้งหมดนี้อยู่ในลายแทงที่ลืมเอามาทั้งสิ้น เอาละใจดีสู้เสือ
ลูกสาวเรารออยู่ข้างนอกแล้ว  หลังจากรับกระเป๋าเสร็จ ผ่าน ต.ม.
 แหม  ต.ม. พูดคำเดียวว่า Thank Yoy อุตส่าห์ ยืนขาสั่นสู้อยู่ตั้งนาน เชอะ
จากนั้นก็ถึง ทางเดินออกไป เขามีที่กั้นให้เดินเรียงเดี่ยวไป
เพื่อจะสแกนกระเป๋าเป็นครั้งสุดท้าย เราก็ภาคภูมิใจมากที่ผ่าน ต.ม.
โดยสวัสดิภาพเข็นรถไป เพื่อที่จะได้เข้าตามเส้นทางเรียงเดี่ยว

 

อ้าว !! อะไรอีกล่ะ  เขา กั้นฉันไว้ แยกออกมา ต่างหาก
ปรื่อปรื๊อๆๆๆ   เหวอ......พยายามฟังให้รู้เรื่องที่สุด ไม่เข้าใจ ไม่เข้าใจเสียเลย มีแต่ความตกใจมาแทนที ทำไมจึงต้องเป็นเราอีก หันไปมองหานักเรียนไทย  หายไปแล้ววว  นี่ถ้าไม่ติดว่าอายุหกสิบเอ็ด จะนั่งร้องไห้ซะเลย จากนั้นเขาคงเห็นเราไม่รู้เรื่องจริง ๆ เขา ก็หยิบ card สีเขียวให้ดู
ฉันก็ Oh Yes I see ไม่รู้คำนี้มันออกมาได้ไง สงสัยปู่ของปู่ของปู่ของปู่เป็นคนออสซี่มั้ง แล้วก็ค้นในกระเป๋า  ซ่อนสายตาอันกังวลไปไว้อย่างมิดชิด ไม่ให้มันเห็น ว่าเรากำลังกลัวสุดขีด card หายไปไหน
Oh My God  เจอแล้ว (ด้วยความสามารถของเราเอง)
มันหล่นออกจากพาสปอร์ต ตอนที่เราดีใจว่าผ่าน ต.ม.แล้ว รีบยื่นให้แหม่มเจ้าหน้าที่ก็ผายมือให้ไปตามเส้นทางเดินของมนุษย์ จากนั้นก็ได้พบลูกสาว โอ้ลูก 8 ชั่วโมง
ที่ผ่านมานี้แม่เหมือน ตอนสอบเข้าเรียนชั้น ม.1 สตรีพะเยา
ยังไงยังงั้นเลย   รถเข็นกระเป๋าเหรอ แม่ผลักทิ้งไปตั้งแต่เห็นหน้า ลูกแล้ว
เย้ๆๆ
ๆ วู้ฮู้  ปิ๊วววว
ตอนที่ 9 “ใคร”  ในความทรงจำ